วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

java2

 การถ่ายทอดโดยตรงจาก class Dog ด้วยการใช้คำสั่ง extends และ
เรียกใช้ interface ทั้งสามด้วยคำสั่ง implements โดยเราได้กำหนดให้มี method bark() ใน
class Dog แต่เราจะ implement method swim() และ fetch() ใน class MyDog
ส่วนโปรแกรมทดสอบของเรามีดังนี้
225
1: /**
2: Testing multiple inheritance
3: */
4:
5: class MultipleInheritance {
6: public static void main(String[] args) {
7: MyDog red = new MyDog("Red");
9: act1(red); //treat as CanBark
10: act2(red); //treat as CanFetch
11: act3(red); //treat as CanSwim
12: act4(red); //treat as MyDog
13: }
14:
15: public static void act1(CanBark d) {
16: d.bark();
17: }
18:
19: public static void act2(CanFetch d) {
20: d.fetch();
21: }
22:
23: public static void act3(CanSwim d) {
24: d.swim();
25: }
26:
27: public static void act4(Dog d) {
28: d.bark();
29: }
30: }
ผลลัพธ์ที่เราได้จากการ run คือ
Woof Woof
Red is
Red is swiming.
Woof Woof
เราเริ่มต้นด้วย interface BankRate และ class Account
1: /**
2: interface for bank rate
3: */
4:
5: public interface BankRate {
6: double RATE = 5.0;
7: }

 ผลลัพธ์ผลลัพธ์ที่เราได้จากการ run คือ
Woof Woof
Red is fetching.
Red is swiming.
Woof Woof
เราเริ่มต้นด้วย interface BankRate และ class Account
1: /**
2: interface for bank rate
3: */
4:
5: public interface BankRate {
6: double RATE = 5.0;
7: }

ส่งงาน

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

welcome

welcome  to suchat   pomamtas
ครบรอบ 11 ปี รัฐพิธีเปิดโรงไฟฟ้าวังน้อย
ในวันที่ 7 สิงหาคม 2552 จะเป็นวันครบรอบ 11 ปี แห่งรัฐพิธีเปิดโรงไฟฟ้าวังน้อยอย่างเป็นทางการ โดยโรงไฟฟ้าวังน้อย เป็นโรงไฟฟ้าประเภทพลังความร้อนร่วม ใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยและประเทศเมียนม่าเป็นเชื้อเพลิงหลัก และใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงสำรองในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้า จำนวน 3 ชุด โดยชุดที่ 1–2 ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดกำลังผลิตชุดละ 652,180 กิโลวัตต์ แต่ละชุดประกอบด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซขนาด 223,370 กิโลวัตต์ จำนวน 2 เครื่อง และเครื่องกังหันไอน้ำขนาดกำลังผลิต 205,440 กิโลวัตต์ จำนวน 1 เครื่อง ส่วนชุดที่ 3 ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดกำลังผลิตชุดละ 722,750 กิโลวัตต์ จำนวน 1 ชุด ประกอบด้วย เครื่องกังหันก๊าซขนาดเครื่องละ 232,980 กิโลวัตต์ จำนวน 2 เครื่อง และเครื่องกังหันไอน้ำขนาดกำลังผลิต 256,790 กิโลวัตต์ จำนวน 1 เครื่อง รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 2,027,110 กิโลวัตต์ สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ปีละ 14,233 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง

นายมโน วงศ์ผาสุกโชติ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าวังน้อย (อฟว.) ได้กล่าวถึงผลการดำเนินงานที่ผ่านมา 11 ปีว่า โรงไฟฟ้าวังน้อยมีวิสัยทัศน์ คือ เป็นโรงไฟฟ้าชั้นนำ ผลิตไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล โดยรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม โดยมีกำลังผลิตเป็นอับดับ 4 ของประเทศ สามารถผลิตไฟฟ้าสร้างรายได้ให้กับ กฟผ. ปีละกว่า 4,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าวังน้อยได้รับรางวัลดีเด่นมากมาย เช่น ในปี 2545 ได้รับรางวัล EIA Award ของสำนักงานนโยบายและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี 2545 และ 2551 ได้รับรางวัล Zero Accident จากการปฏิบัติงานโดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นหยุดงานเป็นเวลานานในระดับจังหวัด จำนวน 2 ครั้ง และในระหว่างปี 2546–2552 ได้รับรางวัลสถานประกอบการดีเด่นระดับประเทศ 7 ปีซ้อน จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกระทรวงแรงงาน และยังได้รับการรับรองระบบมาตรฐานสากล ISO 14001, ISO 9001, มอก. 18000 จากสถาบันรับรองมาตรฐานสากล BVQI และได้รับรางกิจกรรม 5ส. ระดับดีเด่นของ กฟผ. มาตั้งแต่ปี 2542


ตามแผน PDP ของ กฟผ. ในปี 2554 จะดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าวังน้อย ชุดที่ 4 ขนาดกำลังผลิต 820,000 กิโลวัตต์ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนขออนุมัติจัดทำ EIA คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและจ่ายไฟฟ้าได้เชิงพาณิชย์ในปี 2557 และในอนาคตโรงไฟฟ้าวังน้อยมีแผนจะนำระบบ ISO 26000 เข้ามาบริหารอย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนั้นยังมีแผนนำระบบบริหาร TQM เข้ามาใช้และกำหนดเป้าหมายยื่นขอรับรางวัล TQA ในเวลา 5 ปีต่อจากนี้ไปอีกด้วย

ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าวังน้อยยืนหยัดเคียงคู่กับประชาชนรอบๆ โรงไฟฟ้ามาตลอด เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพทางการเกษตร ดังนั้น โรงไฟฟ้าวังน้อยจึงมุ่งเน้นให้ความรู้เรื่องชีววิถีกับชาวบ้านเป็นหลัก โดยภายในโรงไฟฟ้าได้ดำเนินการจัดทำแปลงเกษตรอินทรีย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าโรงไฟฟ้าวังน้อยได้รักษาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง นอกจากนั้น ยังส่งเสริมให้พนักงานมีจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือสังคมอีกทางหนึ่งด้วย โดยภารกิจหลักของโรงไฟฟ้าวังน้อยคือ การผลิตพลังงานไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุดรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประชาชนอย่างเพียงพอ เพื่อความสุขของประชาชน โดยมีความรับผิดชอบต่อสังคมรอบบริเวณโรงไฟฟ้าเป็นอย่างดีและยั่งยืนสืบไป


 
ศรดิษฐ ชื่นชูศักด์ : รายงาน

ไฟฟ้าไทย


จ่ายไฟให้กับหลอดไฟฟ้า 7200 หลอดในพื้นที่หนึ่งตารางไมล์ หลังจากนั้นในปี ค . ศ . 1886 จอร์จ เวสติงเฮาส์ 
(George Westinghouse) ได้ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Westinghouse Electric Company ขึ้น เพื่อจำหน่ายไฟฟ้ากระ
แสสลับ ซึ่งสามารถส่งจ่ายไปได้ในระยะทางที่ไกลกว่าไฟฟ้ากระแสตรง

1.1.2 ประวัติการไฟฟ้าในประเทศไทย                                                                                              
กิจการไฟฟ้าของประเทศไทยได้มีการดำเนินงานมาตั้งแต่รัชสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มในปี พ . ศ . 2427 จอมพลเจ้าพระ
ยาสุรศักดิ์มนตรีได้นำเงินส่วนตัว ส่งนายมาโยลา ชาวอิตาลีไปศึกษาวิชาไฟฟ้า และซื้ออุปกรณ์จากประเทศอังกฤษ
มาติดตั้งและเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่กรมทหารหน้า ( ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกระทรวงกลาโหม )
ในปีพ . ศ . 2437 – 2440 ทางราชการได้เป็นผู้ดำเนินการผลิตและส่งจ่ายกำลังไฟฟ้าเอง จากนั้นได้โอนกิจการ
ให้กับบริษัทบางกอก อิเล็กทริกไลต์ ซินดิเคต (Bangkok Electric Light Syndicate) ซึ่งภายหลังขาดทุน
 จึงต้องโอนกิจการให้บริษัทไฟฟ้าสยาม (Siam Electricity) โดยตั้งที่ทำการและโรงไฟฟ้าที่ข้างวัดราชบูรณะ
หรือวัดเลียบ เป็นโรงไฟฟ้าชนิดพลังความร้อน ถูกเรียกชื่อว่า โรงไฟฟ้าวัดเลียบ
ในปี พ . ศ . 2455 รัชกาลที่ 6 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงไฟฟ้าขึ้นที่สามเสน ใช้ชื่อว่า การไฟฟ้าหลวงสามเสน
 ดำเนินการในรูปรัฐพาณิชย์ภายใต้การควบคุมของกระทรวงมหาดไทย จากนั้นในปี พ . ศ . 2471
 รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่ง
สาธารณชน ซึ่งมีสาระสำคัญว่าผู้หนึ่งผู้ใดจะประกอบการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคเกี่ยวกับไฟฟ้า
ในประเทศไทยหาได้ไม่ เว้นเสียแต่ว่าผู้นั้นจะได้รับสัมปทานหรือได้รับอนุญาตจากรัฐบาลตามราชการ
เสียก่อน มิฉะนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย'
ในปี พ . ศ . 2484 – 2488 ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงไฟฟ้าวัดเลียบและโรงไฟฟ้าสามเสนถูกเครื่องบิน
ฝ่ายพันธมิตรทิ้งระเบิดทำลายได้รับความเสียหาย และได้รับการซ่อมแซมจนใช้งานได้ ภายหลังสงคราม
โลกนี้ ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและพลังงาน รวมถึงเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าขาดแคลนจึงได้มีการจัด
ตั้งโครงการหลายอย่าง เช่นการสำรวจแหล่งน้ำ และเชื้อเพลิง และแผนการสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อแก้ไข
วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น
ในช่วงปี พ . ศ . 2500 – 2505 รัฐบาลได้มีการจัดตั้งองค์การทางรัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบในการผลิตไฟฟ้า คือ
 การไฟฟ้ายันฮี ( กฟย .) การลิกไนต์ ( กลน .) และการไฟฟ้าตะวันออกเฉียงเหนือ ( กฟ . อน .) ซึ่งเป็นองค์กร
ที่เป็นอิสระต่อกัน มีเป้าหมายการดำเนินการเหมือนกัน ภายหลังจึงได้ให้รวมเข้าด้วยกัน ภายใต้ชื่อ
 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ .) ' ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ . ศ . 2512
ในปัจจุบันประเทศไทย มีองค์กรหลักที่ให้การดำเนินการเกี่ยวกับการผลิตและการส่งจ่ายกำลังไฟฟ้า ดังนี้
1.         การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ .) (The Electricity Generating Authority 
of Thailand, EGAT) รับผิดชอบผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้านครหลวง 
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และผู้ใช้พลังงานไฟฟ้ารายอื่นตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งประเทศใกล้เคียง
2.         การไฟฟ้านครหลวง ( กฟน .) (Metropolitan Electricity Authority, MEA) มีอำนาจหน้าที่
ในการจัดหา จัดจำหน่ายไฟฟ้าในเขตพื้นที่ 3 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ
3.         การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ( กฟภ .) (Provincial Electricity Authority, PEA) มีอำนาจหน้าที่จัดหา
และจำหน่ายไฟฟ้าในเขตท้องที่ภูมิภาคของประเทศ
1.2 ระบบไฟฟ้ากำลังในปัจจุบัน
ระบบไฟฟ้ากำลังในปัจจุบัน เชื่อมต่อโยงถึงกันเป็นเครือข่ายที่ซับซ้อน แต่ก็ยังแบ่งเป็น 4 ส่วนหลัก 
ดังรูปที่ 1 คือ
1.         ส่วนกำเนิดกระแสไฟฟ้า (Generation)
2.         ส่วนส่งจ่ายกระแสไฟฟ้า (Transmission and Subtransmission)
3.         ส่วนจำหน่ายกระแสไฟฟ้า (Distribution)
4.         ส่วนของผู้ใช้ไฟฟ้า (Load)
1.2.1 ส่วนกำเนิดหรือผลิตกระแสไฟฟ้า
เป็นส่วนสำคัญของระบบไฟฟ้า ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟสที่เรียกว่า Synchronous Generator
 หรือ Alternator ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 50 MW ไปจนถึง 1500 MW
แหล่งที่มาของกำลังทางกล เรียกว่า ต้นกำลัง หรือ Prime mover ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยแรงจากน้ำ หรือไอ
น้ำที่ได้จากการเผาเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ เช่น ถ่านหิน (Coal) น้ำมัน (Oil) หรือ ก๊าซธรรมชาติ (Natural gas)  
เป็นต้น ไอน้ำอาจได้จากพลังงานนิวเคลียร์ พลังความร้อนใต้พิภพ หรือพลังแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ 
ยังสามารถได้มาจากเครื่องยนต์ดีเซล หรือแรงผลักของก๊าซร้อนอีกด้วย
ในประเทศไทย นอกจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ EGAT ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ
การผลิตไฟฟ้าแล้ว กำลังไฟฟ้าในระบบยังได้มาจากผู้ผลิตในภาคเอกชนด้วย จากข้อมูลปี พ . ศ . 2543 
มีกำลังการผลิตติดตั้งของระบบไฟฟ้าของประเทศ 22,593 MW เพิ่มจากปี พ . ศ . 2542 ร้อยละ 11.7 แบ่งเป็น
สัดส่วนของภาครัฐ 70.3% และภาคเอกชน 29.7% รายละเอียดแสดงในตารางที่ 1
จากข้อมูลในปีเดียวกัน มีกำลังผลิตพลังไฟฟ้าสูงสุดของระบบ 17,275 MW เพิ่มขึ้นจากปี พ . ศ . 2542
 ร้อยละ 21.1 ผลิตพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 95,977 GWh คิดเป็นสัดส่วนของภาครัฐ 66.4% และเป็น
สัดส่วนของภาคเอกชน 33.6%
กระแสไฟฟ้าที่ได้จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า จะถูกนำไปผ่านหม้อแปลง (Transformer) 
ที่จะส่งต่อเข้าไปยังระบบ
1.2.2 ส่วนส่งจ่ายกำลังไฟฟ้า
หลังจากที่กำลังไฟฟ้าได้ส่งผ่านหม้อแปลง เพื่อแปลงแรงดันให้สูง เหมาะสมกับการส่งจ่ายเข้าระบบ โดยทั่ว
ไปใช้แรงดันมากกว่า 60 kv หรือตามมาตรฐานที่ 69 kV, 115kV, 138kV, 161kV, 230 kV, 345 kV, 500 kV 
และ 765 kV (line-to-line) ระบบส่งจ่ายจะรับกำลังไฟฟ้านั้นมา โดยใช้การเดินสายสูงเหนือศีรษะ 
(Overhead transmission) ไปตามเสาไฟฟ้าแรงสูง (High voltage transmission pole) เป็นระยะทางไกล
 เนื่องจากโดยทั่วไป โรงไฟฟ้ามักอยู่ห่างไกลจากชุมชน เพื่อสภาพที่เอื้ออำนวยต่อการผลิต เช่น ใกล้แหล่งน้ำ 
แหล่งเชื้อเพลิง และในบางครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่มีต่อชุมชนด้วย จากนั้นส่งต่อให้กับระบบจำหน่าย
 โดยจะผ่านไปที่สถานีไฟฟ้าย่อย และหม้อแปลงอีก เพื่อปรับแรงดันให้เหมาะสมต่อการใช้งานของผู้ใช้ไฟฟ้า
1.2.3 ส่วนจำหน่ายกำลังไฟฟ้า
เป็นส่วนที่ต่อออกมาจากสถานีไฟฟ้าย่อย โดยผ่านหม้อแปลง เพื่อแปลงแรงดันให้ลดลงมา ( 
 4 -34.5 kV ) เนื่องจากสถานีไฟฟ้าย่อยต้องอยู่ใกล้กับโหลด หรือผู้ใช้ มากที่สุด นั่นคือสถานีไฟฟ้าย่อยอยู่
ในเขตชุมชน และระบบจำหน่ายก็เป็นระบบที่อยู่ในเขตชุมชน ดังนั้นระบบจำหน่ายจะมีทั้งแบบเดิน
สายเหนือศีรษะ (Overhead) และแบบเดินสายใต้ดิน (Underground) กำลังไฟฟ้าจะส่งไปยังผู้ใช้ไฟฟ้า
 ซึ่งมีการผ่านหม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อลดและปรับแรงดันลงอีกครั้งหนึ่ง 
รูปที่ 1 แสดงส่วนประกอบของระบบไฟฟ้า
1.2.4 โหลด
โหลด แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.         อุตสาหกรรม (Industrial)
2.         ธุรกิจ (Commercial)
3.         ที่พักอาศัย (Residential)
โหลดประเภทอุตสาหกรรม เป็นโหลดประเภทที่ใช้ไฟ เป็นอัตราส่วนมากที่สุด ในภาคอุตสาหกรรมจะมีโหลดหลาย
ประเภทรวมกัน แต่จะมี Induction motor เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีผลต่อแรงดันและความถี่ของระบบ สำหรับ
อุตสาหกรรมบางประเภท ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหนัก มีการใช้ไฟฟ้าในปริมาณสูง สามารถใช้ไฟจากระบบส่ง
จ่าย แทนการรับไฟจากระบบจำหน่ายได้
ในภาคธุรกิจและที่พักอาศัย โหลดจะประกอบไปด้วย โหลดแสงสว่าง ความร้อนและปรับอากาศ โหลดเหล่านี้
จะไม่มีผลต่อความถี่และใช้ Reactive power น้อยมาก
ค่า Real power ของโหลด วัดเป็น kW หรือ MW มีค่าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งผู้ผลิตจะต้องผลิตไฟฟ้า
ให้มีกำลังจ่ายให้กับระบบมากพอต่อความต้องการของผู้ใช้ ดังจะเห็นได้จาก Load curve (LC) ซึ่งแสดงค่าการ
ใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ ( การใช้ไฟฟ้านั้น เกิดขึ้นจากผู้ใช้ไฟฟ้าหลายๆประเภทรวมกัน ) อาจวัดในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง
 เรียกว่า Daily load curve หรือ เป็นเดือน เรียกว่า Monthly load curve หรือ เป็นปี เรียกว่า Yearly load curve 
ในช่วงเวลาที่สนใจ จะมีค่าการใช้ไฟฟ้าที่สูงสุดอยู่ เรียกว่า Peak load หรือ Maximum demand เมื่ออยู่ในช่วง
ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็ก อาจถูกเพิ่มเข้าไปในระบบ เพื่อเสริมกับค่ากำลัง
ไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่ในระบบ ให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ชั่วโมง
การประเมินความคุ้มค่าในการใช้งานโรงไฟฟ้า มี Load factor เป็นตัววัด หาได้จาก
Load Factor (LF) =
หรือ ถ้าคิดสำหรับ 1 วัน
Daily Load Factor =
=
หรือ ถ้าคิดต่อปี
Annual Load Factor =
โดยทั่วไป ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของโหลดแต่ละประเภทจะเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน เป็นเหตุผลทำให้ LF 
ถ้าโรงไฟฟ้าถูกใช้อย่างคุ้มค่า จะมีค่า LF สูง โดยทั่วไป มีค่าอยู่ระหว่าง 55 – 70 เปอร์เซ็นต์
ตัวชี้วัดอื่นๆ ที่ใช้ คือ Utilization Factor (UF) หาได้จาก
UF =
และ Plant Factor (PF) หาได้จาก
PF =
UF และ PF เป็นตัววัด ว่าขีดความสามารถของระบบ ถูกใช้งานและได้รับการจัดการดีเพียงใด


กระแสไฟฟ้าที่ได้จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า จะถูกนำไปผ่านหม้อแปลง (Transformer) เพื่อปรับแรงดันให้มี
ความเหมาะสม ที่จะส่งต่อเข้าไปยังระบบ
1.2.2 ส่วนส่งจ่ายกำลังไฟฟ้า
หลังจากที่กำลังไฟฟ้าได้ส่งผ่านหม้อแปลง เพื่อแปลงแรงดันให้สูง เหมาะสมกับการส่งจ่ายเข้าระบบ โดย
ทั่วไปใช้แรงดันมากกว่า 60 kv หรือตามมาตรฐานที่ 69 kV, 115kV, 138kV, 161kV, 230 kV, 345 kV, 
kV และ 765 kV (line-to-line) ระบบส่งจ่ายจะรับกำลังไฟฟ้านั้นมา โดยใช้การเดินสายสูงเหนือศีรษะ 
 (Overhead transmission) ไปตามเสาไฟฟ้าแรงสูง (High voltage transmission pole) เป็นระยะทางไกล 
เนื่องจากโดยทั่วไป โรงไฟฟ้ามักอยู่ห่างไกลจากชุมชน เพื่อสภาพที่เอื้ออำนวยต่อการผลิต เช่น ใกล้แหล่งน้ำ
 แหล่งเชื้อเพลิง และในบางครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่มีต่อชุมชนด้วย จากนั้นส่งต่อให้กับระบบจำหน่าย
 โดยจะผ่านไปที่สถานีไฟฟ้าย่อย และหม้อแปลงอีก เพื่อปรับแรงดันให้เหมาะสมต่อการใช้งานของผู้ใช้ไฟฟ้า
1.2.3 ส่วนจำหน่ายกำลังไฟฟ้า
เป็นส่วนที่ต่อออกมาจากสถานีไฟฟ้าย่อย โดยผ่านหม้อแปลง เพื่อแปลงแรงดันให้ลดลงมา
 ( โดยทั่วไปอยู่ในช่วง 4 -34.5 kV ) เนื่องจากสถานีไฟฟ้าย่อยต้องอยู่ใกล้กับโหลด หรือผู้ใช้ 
นั่นคือสถานีไฟฟ้าย่อยอยู่ในเขตชุมชน และระบบจำหน่ายก็เป็นระบบที่อยู่ในเขตชุมชน ดังนั้น
ระบบจำหน่ายจะมีทั้งแบบเดินสายเหนือศีรษะ (Overhead) และแบบเดินสายใต้ดิน (Underground)
 กำลังไฟฟ้าจะส่งไปยังผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีการผ่านหม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อลดและปรับแรงดันลงอีกครั้งหนึ่ง 
1.2.4 โหลโหลด แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.         อุตสาหกรรม (Industrial)
2.         ธุรกิจ (Commercial)
3.         ที่พักอาศัย (Residential)
โหลดประเภทอุตสาหกรรม เป็นโหลดประเภทที่ใช้ไฟ เป็นอัตราส่วนมากที่สุด ในภาคอุตสาหกรรมจะมีโหลดหลาย
ประเภทรวมกัน แต่จะมี Induction motor เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีผลต่อแรงดันและความถี่ของระบบ สำหรับ
อุตสาหกรรมบางประเภท ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหนัก มีการใช้ไฟฟ้าในปริมาณสูง สามารถใช้ไฟจากระบบส่งจ่าย
 แทนการรับไฟจากระบบจำหน่ายได้
ในภาคธุรกิจและที่พักอาศัย โหลดจะประกอบไปด้วย โหลดแสงสว่าง ความร้อนและปรับอากาศ โหลดเหล่า
นี้จะไม่มีผลต่อความถี่และใช้ Reactive power น้อยมาก
ค่า Real power ของโหลด วัดเป็น kW หรือ MW มีค่าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งผู้ผลิตจะต้องผลิตไฟฟ้า
ให้มีกำลังจ่ายให้กับระบบมากพอต่อความต้องการของผู้ใช้ ดังจะเห็นได้จาก Load curve (LC) ซึ่งแสดงค่าการ
ใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ ( การใช้ไฟฟ้านั้น เกิดขึ้นจากผู้ใช้ไฟฟ้าหลายๆประเภทรวมกัน ) อาจวัดในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง
 เรียกว่า Daily load curve หรือ เป็นเดือน เรียกว่า Monthly load curve หรือ เป็นปี เรียกว่า Yearly load curve
 ในช่วงเวลาที่สนใจ จะมีค่าการใช้ไฟฟ้าที่สูงสุดอยู่ เรียกว่า Peak load หรือ Maximum demand เมื่ออยู่ใน
ช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็ก อาจถูกเพิ่มเข้าไปในระบบ เพื่อเสริมกับค่า
กำลังไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่ในระบบ ให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ชั่วโมง
การประเมินความคุ้มค่าในการใช้งานโรงไฟฟ้า มี Load factor เป็นตัววัด หาได้จาก
Load Factor (LF) =
หรือ ถ้าคิดสำหรับ 1 วัน
Daily Load Factor =
=
หรือ ถ้าคิดต่อปี
Annual Load Factor =
โดยทั่วไป ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของโหลดแต่ละประเภทจะเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน เป็นเหตุผลทำให้ LF 
ของระบบดีขึ้น ถ้าโรงไฟฟ้าถูกใช้อย่างคุ้มค่า จะมีค่า LF สูง โดยทั่วไป มีค่าอยู่ระหว่าง 55 – 70 เปอร์เซ็นต์
ตัวชี้วัดอื่นๆ ที่ใช้ คือ Utilization Factor (UF) หาได้จาก
UF =
และ Plant Factor (PF) หาได้จาก
PF =
UF และ PF เป็นตัววัด ว่าขีดความสามารถของระบบ ถูกใช้งานและได้รับการจัดการดีเพียงใด
วิธีทำ
หาค่า Load factor:
Consumed Energy = (2 x 6) + (4 x 5) + (3 x 10) + (3 x 15) + (2 x 12) + (2 x 14)
+ (2 x 16) + (2 x 18) + (2 x 16) + (1 x 12) + (1 x 6) = 277 MWh
Average load = 277 / 24 = 11.542 MW
จากข้อมูลในตาราง Peak load = 18 MW
ดังนั้น LF = 11.542 / 18 = 0.6412 หรือ 64.12%
ี่1.3 การป้องกันระบบไฟฟ้ากำลัง (System Protection)
อุปกรณ์ป้องกันระบบ เรียกว่า Switch gear ประกอบไปด้วย Transformers, Circuit breakers,
 Disconnect switches, Fuses และ Lightning arresters ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ควบคุมและอุปกรณ์ตรวจจับ
 (Protective relays) ซึ่งจะติดตั้งอยู่ที่ห้องควบคุม
1.4 ศูนย์ควบคุม (Energy Control Center, ECC)
ใช้ตรวจตราระบบทั้งหมด จากศูนย์ควบคุมนี้ ประกอบไปด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมเชื่อม
ต่อทำงานร่วมกับอุปกรณ์ตรวจจับและควบคุมต่างๆ ทำงานตลอด เวลา เพื่อรับข้อมูลจากสัญญาณที่
ส่งออกไปตรวจสถานะ การทำงานของระบบ ภายในศูนย์ควบคุม จะประกอบไปด้วย Visual display unit
 และ Alarm เพื่อเตือนผู้ควบคุม เมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
1.5 ค่าไฟฟ้า (Tariff)
อัตราการเก็บค่าไฟฟ้าของประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นอัตราที่มีการปรับปรุงใหม่ เริ่มใช้เมื่อ เดือนตุลาคม 
พ . ศ . 2543 มีอัตราแตกต่างกันออกไปตามประเภทของผู้ใช้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 7 ประเภท ดังนี้
1.         ที่พักอาศัย (Residential)
2.         กิจการขนาดเล็ก (Small general service)
3.         กิจการขนาดกลาง (Medium general service)
4.         กิจการขนาดใหญ่ (Large general service)
5.         กิจการเฉพาะอย่าง (Specific business service)
6.         ส่วนราชการและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร (Government institutions
 and Non-profit organization)
7.         การสูบน้ำเพื่อการเกษตร (Agricultural pumping service)
ผู้ใช้ไฟฟ้าในประเภทที่ 1 หมายถึง การใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ตลอดจนบริเวณที่เกี่ยว
ข้อง รวมทั้งวัด สำนักสงฆ์ และ สถานประกอบศาสนกิจของทุกศาสนา โดยต่อผ่านเครื่องวัดไฟฟ้าเครื่องเดียว
หมายเหตุ
  • อัตราค่าไฟฟ้าข้างต้น เป็นราคาที่ยังไม่รวม VAT
  • ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งเครื่องวัดไม่เกิน 5 แอมป์ 220 โวลท์ 1 เฟส 2 สาย จะจัดเข้าประเภทที่ 1.1.1
  •  แต่หากมีการใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยติดต่อกัน 3 เดือนในเดือนถัดไปจะจัดเข้าประเภทที่ 1.1.2 
  • และเมื่อใดที่การใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยติดต่อกัน 3 เดือน ในเดือนถัดไปจะจัดเข้าประเภทที่ 1.1.1
  • Peak : เวลา 09.00 - 22.00 น . วันจันทร์ วันศุกร์
  • Off Peak : เวลา 22.00 – 09.00 น . วันจันทร์ - วันศุกร์ และ วันเสาร์ วันอาทิตย์
  •  วันหยุดราชการตามปกติ ( ไม่รวมวันหยุดชดเชย ) ทั้งวัน
  • TOU rate เป็นอัตราเลือกสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 บ้านอยู่อาศัย และประเภทที่ 2 กิจการขนาดเล็ก
  •  เมื่อใช้แล้วจะกลับไปใช้อัตราเดิมไม่ได้ ทั้งนี้ ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องชำระค่าเครื่องวัด TOU  
  • และหรือค่าใช้จ่ายอื่นตามที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกำหนด
  • ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เลือกใช้อัตรา TOU กรณีติดตั้งเครื่องวัดไฟฟ้าทางด้านแรงต่ำของหม้อแปลง
  •  ซึ่งเป็นสมบัติของผู้ใช้ไฟฟ้า ให้คำนวณหน่วยคิดเงินเพิ่มอีกร้อยละ 2 เพื่อครอบคลุมการสูญเสีย
  • ในหม้อแปลงไฟฟ้าซึ่งมิได้วัดรวมไว้ด้วย
  • ในกรณีมีค่าใช้จ่ายที่เหนือจากการควบคุมของการไฟฟ้า จะมีการปรับค่าไฟฟ้าโดยใช้ Flat rate (Ft.)  
  • ซึ่งคิดต่อหน่วย

ตัวอย่างที่ 2 การคำนวณค่าไฟฟ้า[s1] 
โจทย์ คำนวณค่าไฟฟ้าของบ้านหลังหนึ่ง ใช้ไฟฟ้าไป 120 หน่วยต่อเดือน และมีการปรับอัตราค่า
ไฟฟ้าอัตโนมัติ (Ft.) 21.95 สตางค์ / หน่วย
วิธีทำ
ในกรณีผู้ใช้ไม่ได้เลือกจ่ายแบบ TOU rate ผู้ใช้จ่ายตามอัตราในข้อ 1.1.1 เนื่องจากใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 
 kWh / เดือน
คำนวณค่าพลังงานไฟฟ้า
5 หน่วยแรก ( หน่วยที่ 1 - 5)

= 0.00
บาท
10 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 6 - 15)
= (10 x 1.3576)
= 13.576
บาท
10 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 16 - 25)
= (10 x 1.5445)
= 15.445
บาท
10 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 26 - 35)
= (10 x 1.7968)
= 17.968
บาท
65 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 36 - 100)
= (65 x 2.1800)
= 141.70
บาท
20 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 101 - 120)
= (20 x 2.2734)
= 45.468
บาท

รวมคิดเป็นค่าพลังงานไฟฟ้า

= 234.157
บาท
ค่าบริการ

= 8.19
บาท
รวมเป็นค่าไฟฟ้าฐาน
= 234.157 + 8.19
= 242.347
บาท
คำนวณค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft)



จำนวนพลังงานไฟฟ้า x ค่า Ft.
= 120 x 0.2195
= 26.34
บาท
คำนวณค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%



( ค่าไฟฟ้าฐาน + ค่าไฟฟ้าผันแปร ) x 7/100
= (242.347 + 26.34) x 7/100
= 18.808
บาท
รวมเงินค่าไฟฟ้า
= 242.347 + 26.34 + 18.808
= 287.495
บาท



 [s1]1